สารคดีสุดพิเศษจาก MUTV มีชื่อเรื่องว่า My Philosophy, My Life เป็นการเจาะลึกบุคลิกส่วนตัวของ หลุยส์ ฟาน กัล รวมถึงการบอกปัดคำกล่าวหาที่ว่ามีการปกครองแบบทำให้ลูกทีมมีความกลัว
ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ย้ำว่า “ทุกคนอาจไม่ได้ตระหนักว่าผมเป็นคนที่ยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก ทุกคนมองว่าผมเป็นผู้จัดการทีมในแบบที่อาจเรียกได้ว่าเผด็จการ แต่อันที่จริงผมไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย”
มันชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่ได้รับความเคารพ และเขาก็ไม่ใช่คนที่จะคอยตะโกนโหวกเหวกใส่ลูกทีมอย่างเดียวด้วย เขาชอบที่จะเข้าไปคุยกับตัวนักเตะแบบเป็นการส่วนตัวอย่างที่ เวย์น รูนี่ย์ ได้บอกเอาไว้กับ MUTV เขามักจะเปิดประตูให้ทุกคนเข้าไปพูดคุยอยู่เสมอ
“ผมมองว่าลูกทีมของผมไม่ใช่แค่นักฟุตบอลที่จะเตะบอลจากจุดนี้ไปจุดนั้นเท่านั้นหรอก แต่มันยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ด้วย” ฟาน กัล อธิบาย “ผมต้องการที่จะรู้จักตัวตนของพวกเขา ไม่ใช่แค่ในฐานะนักเตะ แต่ในฐานะบุคคลด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก”
กุนซือชาวดัตช์นั้นทราบดีว่าการเป็นนักเตะนั้นเป็นอย่างไร และมันจะดีแค่ไหนหากว่ามีการสนับสนุนคุณอย่างถึงที่สุด ในฐานะกองหน้าดาวรุ่งที่อาแจ็กซ์ เขาเคยลงเล่นเคียงข้างกับ โยฮัน ครัฟฟ์ และเขาก็เคยต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจยากๆ ด้วยการย้ายออกจากสโมสรที่เขาชื่นชอบมาแล้ว
“ผมเคยเล่นเป็นกองหน้า และกองหน้าอีกคนในทีมตอนนั้นก็คือครัฟฟ์” เขาย้อนความหลัง “ผมแทบจะไม่มีโอกาสขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เลย ผมเป็นนักเตะที่ต้องการลงไปสร้างผลงาน และสิ่งนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญในปรัชญาของผม เมื่อผมเห็นว่าผมดีไม่พอ เพราะครัฟฟ์นั้นเก่งกว่ามาก ผมจึงตัดสินใจย้ายออกมา และไปเล่นให้กับรอยัล อันท์เวิร์ป”
แม้แต่ในช่วงปีแรกๆ ซึ่งเขาย้ายออกมาจากอัมสเตอร์ดัมตั้งแต่อายุ 20 ปี ไอเดียของฟาน กัล ก็เริ่มฉายแววสู่ความเป็นยอดโค้ชออกมา เขาเก็บเกี่ยวทุกอย่างทั้งจากฟุตบอล และการใช้ชีวิตของเขามาประยุกต์เข้ากับกีฬาประเภทนี้
“ผมเป็นคนที่มีความบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก” เขาย้ำ “ผมต้องการที่จะชนะ คุณได้เรียนรู้ที่อคาเดมี่ในการคิดนอกกรอบ และวิเคราะห์จากสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ผมทำสิ่งนั้นตั้งแต่ยังเป็นนักเตะ ระหว่างการค้าแข้ง ผมจะเป็นกัปตันที่คอยหาโอกาสพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ผมเป็นนักเตะที่เคลื่อนไหวช้า ดังนั้นผมจะต้องคิดให้เร็ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่สามารถเล่นในระดับนั้นได้ นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้ผมต้องพัฒนาระดับแท็คติคของผม และนั่นก็เกิดประโยชน์ต่อผมในอาชีพผู้จัดการทีม ผมต้องการที่จะมาทำงานเป็นโค้ช และปรัชญาของผมก็เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น”
ขณะที่ฟาน กัล ต้องพบกับความเจ็บปวดอยู่บ้างที่ปรัชญาของเขามักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ตลอดนับตั้งแต่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด แต่ชายผู้พาทีมชาติฮอลแลนด์คว้าอันดับ 3 ในฟุตบอลโลกเมื่อปีก่อนก็ยังมองในแง่บวกว่าลูกทีมของเขาจะทำหน้าที่ตามแท็คติคที่วางเอาไว้ได้
“คุณจะต้องปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของสโมสรที่คุณอยู่” เขากล่าว “วิธีการทำงานของผมที่ยูไนเต็ดก็แตกต่างออกไปจากบาเยิร์น มิวนิค และก็ต่างจากบาร์เซโลน่าหรือทีมชาตฮอลแลนด์ด้วยเช่นกัน ผมชื่นชอบฟุตบอลเกมรุก แต่ก่อนอื่นผมก็ต้องมาดูระดับของคุณภาพนักเตะก่อน รวมถึงตำแหน่งที่พวกเขาสามารถเล่นได้ด้วย ผมลองใช้เกมรุกอยู่ 4 แบบ เช่นเดียวกับเกมรับ 4 แบบ ผมคิดว่าตอนนี้นักเตะน่าจะรู้แล้วว่าปรัชญาของผมที่ต้องการให้พวกเขาทำตามคืออะไร”
แล้วกับอนาคตล่ะ? ยูไนเต็ดยังอยู่อันดับที่ 4 บนตาราง และก็กำลังคึกสุดขีดหลังเอาชนะมาได้ทั้งท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ และลิเวอร์พูล แต่แฟนบอลต่างก็หวังว่านี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของอะไรดีๆ ที่จะตามมาอีกเยอะ “ผมต้องบอกมันมีมุมมองหลากหลายในปรัชญาของผมที่ผมน่าจะยึดติด แต่ผมก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ตลอด” บอสเผย “มันอาจเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงจากทีมสต๊าฟฟ์ หรือนักเตะที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เราจึงต้องมาคอยดูกันว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปในอีก 1 ปีหลังจากนี้ จากนั้นคุณค่อยมาถามผมอีกครั้ง”
ความคาดหวังมันก็เป็นอย่างนั้นเอง ในช่วง 12 ปีแรก หลุยส์ ฟาน กัล ถือว่าเข้าใกล้กับการได้สร้างผลงานของตัวเองเอาไว้กับสโมสรแล้ว เป้าหมายของเขายังคงตรงไปตรงมา ในการให้สัมภาษณ์กับ MUTV เขาถูกถามว่าต้องการได้รับอะไรบ้างจากการเข้ามาคุมทีมในครั้งนี้ “อย่างน้อยก็ต้องเป็นการคว้าแชมป์ เพราะว่าผมทำได้มากับทุกที่ และผมก็ต้องการมอบสิ่งนี้ให้กับแฟนๆ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เขาตอบ “ผมต้องการคว้าให้ได้ทุกๆ รายการ แต่เป้าหมายของเราตอนนี้ก็คือผ่านไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้ก่อน”
SiR KeaNo
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC